นักเดินทางหน้าเทศกาล...
โดย แดง ใบเล่
"ขึ้นมาเลยแพ่ ขึ้นเลยแพ่”
โดย แดง ใบเล่
โดยทั่วไปแล้ว ชีวิตในโลกปัจจุบันนี้นั้นคล้าย ๆ กับว่าคนมีปัญญาและมีโอกาสและมีเงิน เขาจะพากันหลีกเลี่ยงการเดินทางหน้าเทศกาล เพราะว่าพวกท่านเหล่านั้นไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องเดินทางในช่วงเวลาการจราจรคับคั่ง ท่านไม่มีความจำเป็นที่จะต้องร่วมขบวนการแก่งแย่งกันใช้ผิวจราจรขาไปและแข่งกันเดินทางขากลับ แย่งกันกินแย่งกันเข้าห้องน้ำ แย่งกันหาที่จอดรถตามปั้มน้ำมันริมทาง ท่านมีโอกาสดีอย่างเหลือเฟือ ท่านรอเวลาได้ เพื่อให้ฉากช่วงเทศกาลผ่านพ้นไปก่อน ท่านจึงเยี่ยมหน้าแหวกม่านออกมา โธ่...โลกนี้คือละคร
แต่ผู้เขียนยังสังกัดกลุ่มคนสามัญธรรมดาทั้งหลาย ผู้ยังมีความจำเป็นที่จะต้องเดินทางในช่วงเทศกาล และในหน้าเทศกาลต้นปี 2552 นี้ ผู้เขียนก็ได้ร่วมกระบวนการเดินทางแห่ไปพร้อมกับคนอื่น ๆ ทุก ๆ คน เราเดินทางไปพร้อมกับข่าวร้ายนานาชนิดที่อุบัติขึ้นในหน้าเทศกาลต้นปี 2552 ซึ่งสำหรับการเดินทางขาเข้ากรุงเทพฯของผู้เขียนนั้นปรากฏว่าตั๋วเต็มทุกที่ กิจการเดินรถได้เพิ่มเที่ยวรถเข้ากรุงด้วยการวิ่งรถเสริมหลายคัน และตั๋วเต็มทุกคัน จึงมีหนทางเดียวที่ผู้เขียนจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯได้ในช่วงเวลาอันจำเป็นนั้น คือ เสี่ยงโชคไปรอรถเสริมทางไกล ที่อาจโคจรผ่านมาแวะที่ท่ารถ เผื่อว่าอาจจะมีที่ว่างให้โดยสารเข้ากรุงเทพฯได้
ซึ่งผู้เขียนก็ได้ไปรอรถจรตามที่มีผู้แนะนำ อยู่ที่สถานีขนส่งแต่เนิ่น ๆ รออยู่เป็นเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง โดยเสียบหูฟัง ฟังรายการในเครื่องเล่นเอ็มพี 3 เรื่อง “สิทธิมนุษย์ชนในการปฏิวัติฝรั่งเศส” จบไปสองรอบ ก็มีรถจังหวัดอื่นพลัดหลงแวะเข้ามา และมีที่ว่างรับผู้เขียนขึ้นโดยสารได้ เด็กรถตะโกนว่า
"ขึ้นมาเลยแพ่ ขึ้นเลยแพ่”
ซึ่งผู้เขียนก็ได้ร้องถามว่า
“มีที่นั่งเปล่า มีที่นั่งเปล่า”
ซึ่งเด็กรถไม่ยอมตอบ ได้แต่ร้อง ว่า
“ขึ้นเลยแพ่ รถออกเดี๋ยวนี้แล้ว”
ซึ่งผู้เขียนพิจารณาแล้วประจักษ์แจ้ง มีดวงตาเห็นธรรมว่า ในยามเทศกาลและช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ ขืนรอการ “confirm” ตั๋วอยู่ละก้อ เห็นจะตกรถไม่ได้ออกเดินทางแน่ คิดได้ดังนั้นก็ฉวยเป้สะพายบ่า วิ่งถลาไปขึ้นรถทัวร์ท่าทางแปลก ๆ คันนั้น ซึ่งข้างรถวาดรูปตัวการ์ตูนสีสันสดใสเพียบเลย...ระหว่างที่กำลังก้าวขึ้นบันไดหน้ารถอยู่นั้น ก็เหลียวหลังกลับมามองเพื่อนเดินทางนิรนามทั้งหลายที่รอรถอยู่บนชานชลาสถานีขนส่ง ปรากฏว่าไม่มีใครขึ้นรถการ์ตูนตามผู้เขียนมาเลยสักคนเดียว
แป๊น ๆ ๆ รถทัวร์การ์ตูนบีบแตรเอาฤกษ์ก่อนบ่ายหน้าขึ้นถนนเพชรเกษม ภายในห้องโดยสารปรากฏว่าที่นั่งซึ่งปกตินั่งสองคน มีคนนั่งสาม และมีคนยืนเรียงรายเกาะพนักเบาะกันอยู่เพราะไม่มีที่จะนั่ง เด็กประจำรถมีสองคน เป็นผู้หญิงอ้วนตุ๊ต๊ะคนหนึ่งกับผู้ชายผอม ๆ คนหนึ่ง ทั้งเด็กรถและคนขับซึ่งเป็นคนตัวโตร่างใหญ่และเป็นโรคอ้วนตุ๊ต๊ะเช่นเดียวกับเด็กรถผู้หญิง ล้วนเป็นคนเมืองเพชร และพูดภาษาสำเนียงชาวเมืองเพชรอันมีเสน่ห์ เด็กรถหญิงอ้วนตุ๊ต๊ะได้นำเสื่อปลาสติคมาปูบนพื้นรถข้าง ๆ ที่นั่งคนขับให้ผู้เขียนนั่ง พลางเธอบอกว่า
"นั่งให้สบายเลยแพ่”
ผู้เขียนก็ถึงบางอ้อ รู้เลยว่าตอนที่ตะโกนถามอยู่ข้างล่างก่อนขึ้นรถ ร้องถามว่ามีที่นั่งเปล่า ทำไมเธอถึงไม่ยอมตอบ โธ่...ที่นั่งมันมีชัวร์ ๆ อยู่แล้ว จะต้องถาม และตอบกันทำไม หลังจากนั่งขัดสมาธิบนเสื่อข้าง ๆ คนขับอยู่ครู่ใหญ่ ผู้เขียนจึงรวบรวมสติเสียใหม่ แล้วถามเด็กรถอย่างชัดเจน อีกครั้ง ว่า
"เบาะที่นั่ง จะว่างมั่งมั๊ยเนี่ย”
ซึ่งเด็กรถหญิงตัวอ้วน ๆ ตอบว่าซึ่งเด็กรถหญิงตัวอ้วน ๆ ตอบว่า
“มีคนลงอยู่เรื่อยแหละพี่ ถึงปราณคนลงตั้งหลายคน”
ตายโหง ผู้เขียนนึกอุทานอยู่ในใจ กว่าจะถึงปราณบุรีก็ใกล้ค่ำแล้วล่ะ
รถวิ่งเสริมหน้าเทศกาล ข้างรถวาดรูปตัวการ์ตูนคันนั้น บีบแตรแป๊น ๆ เรียกคนตลอดทาง มีแต่คนขึ้นไม่มีคนลงสักคนเดียว จนถึงใกล้ ๆ ปากทางเข้าอำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร บริเวณปากทางดังกล่าวนั้น มีศาลาที่พักข้างทางของกรมทางหลวง ในศาลา มีชายฉกรรจ์นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่หลายคน ซึ่งรถการ์ตูนก็ชะลอ โฉบเข้าไป เรียกคนขึ้นรถอีก โดยเด็กรถผู้หญิงตัวอ้วน ๆ เปิดประตูรถ พลางยืนที่บันไดยื่นหน้าออกไป ร้องถามชายเหล่านั้นในศาลา ว่า
“เพชรบุรีมั๊ยพี่-เพชรบุรี กรุงเทพฯมั๊ยพี่-กรุงเทพฯ”
ชายคนหนึ่งที่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในศาลา ร้องตอบน้องอ้วนว่า
“บ้านอยู่นี่!”
ผู้เขียนจึงหันไปบอกพี่อ้วน คนขับรถทัวร์การ์ตูน ว่า
"พี่ ๆ ยาวไปเลยดีกว่า บ้านเขาอยู่นี่”
เรื่อยมาถึงบางสะพานน้อย แล้วต่อมาก็ถึงบางสะพานใหญ่ มีผู้โดยสารขึ้นมาอีกทั้งสองแห่ง รถแล่นบนถนนเพชรเกษมต่อมาอีกพักหนึ่ง แก๊ซใกล้จะหมด คนขับแวะเติมแก๊ซ ที่ปั้มริมทาง นานหลายนาที จนฝรั่งบนรถ ก็ลงจากรถ มายืนรับลมอยู่ข้างล่าง ผู้เขียนลงไปเดินดูเขาเติมแก๊ซ ลงถังแก๊ซแปดถังตอนท้ายรถ พบว่า เขาเติมกันเป็นกิโลกรัม และคิดสตางค์ตามจำนวนกิโลกรัมที่เติม เมื่อเติมเต็มทั้งแปดถัง เครื่องเติมแก๊ซหยุดกึกโดยอัตโนมัติ ผู้เขียนจึงเดินมาบอกคนขับรถ ซึ่งนั่งจุมปุ้ก จมกองไขมันพันกาย อยู่กับพวงมาลัยตอนหน้ารถ ว่า
“พี่ ๆ เต็มแล้ว”
ได้ยินดังนั้น พี่แกก็สตาร์ทเครื่อง กระหึ่มขึ้นทันที ข้างฝ่ายเด็กรถอ้วนผอมทั้งสองคน ก็เที่ยวเดินไล่ต้อนเรียกผู้โดยสาร ขึ้นรถการ์ตูน เพื่อออกเดินทาง มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ กันต่อไป...
นั่งสัปหงกหลับ ๆ ตื่น ๆ จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า เลยอำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มาแล้ว รถทัวร์การ์ตูนจอดแวะให้ผู้โดยสารลงไปรับประทานอาหารและใช้ห้องน้ำ ณ สถานีพักรถแห่งหนึ่ง โดยเด็กรถผู้หญิงตัวอ้วน ๆ ประกาศแก่ผู้โดยสารทั้งหลาย ว่า
“จอดกินอาหาร ยี่สิบนาที”
ซึ่งผู้เขียนร้องถาม เพื่อความชัวร์ ว่า
“กินฟรีเปล่า?”
ซึ่งเด็กรถผู้ชายตัวผอม ๆ ตอบดัง ๆ แบบมีอุปมาอุปมัย ว่า
"นั่นมันรถวีไอพีแล้วล่ะ!”
ซึ่งผู้เขียนก็รับทราบโดยดุษณี และโดยจ๋องสนิท เจียมเนื้อเจียมตัว พลางนึกในใจว่า กูว่าแล้ว ต้องเสียเงินแหงเลย
ที่พักรถดังกล่าวนั้น มีลักษณะคล้ายกับร้านเซเว่นขนาดใหญ่มาก ๆ สินค้าวางขายส่วนใหญ่จะเป็นของที่ระลึกประเภทของกิน เช่น กล้วยอบเนย กล้วยตากอบน้ำผึ้ง ทุเรียนทอดแผ่นบาง ๆ คล้ายมันฝรั่งทอด ขนมเปี๊ยะชนิดเปลือกหน้าเปลือกบาง และสอดใส้นานาชนิด มีร้านขายข้าวแกง และมีห้องอาหารไว้เลี้ยงอาหารฟรี สำหรับผู้โดยสารรถวีไอพี ส่วนพวกเราผู้โดยสารรถทัวร์การ์ตูน ต้องซื้ออาหารกินเอง ผู้เขียนซึ่งควบคุมน้ำหนักตัวอย่างเคร่งครัด ซื้อกล้วยเล็บมือนางตากแห้งกล่องเล็ก ๆ กับซื้อน้ำแร่หนึ่งขวด มานั่งรับประทานที่ม้าหินใกล้ ๆ รถทัวร์ เพราะเกรงว่า รถทัวร์การ์ตูนมันจะทิ้งเราไป โดยสารมาครึ่งวัน ชักรู้แล้วว่า วางใจไม่ใคร่จะได้ พี่แกไม่รู้หรอกว่ามีผู้โดยสารทั้งรถกี่คน ขาดหายไปคนสองคนพี่แกก็ไม่มีวันรู้ หรือถึงรู้ แกก็อาจจะไม่สนใจเราก็ได้
การเดินทางบนถนนเพชรเกษม ช่วงก่อนถึงกุยบุรี ถนนขรุขระ ปุปะ และผิวถนนเสียตลอดทาง คล้าย ๆ กับถนนมิตรภาพช่วงก่อนถึงโคราช สมัยที่ยังไม่มีการปรับปรุงถนนและผิวการจราจรครั้งใหญ่ ความขรุขระของผิวถนน เขย่ารถทัวร์การ์ตูนคันเบ้อเร่อ สั่นสะเทือนอย่างแรงทั้งคัน พี่อ้วนคนขับบ่นกับผู้เขียนว่า
“ดีไม่ดีอะหลั่ยหลุด!”
และบางตอน เมื่อมองผ่านกระจกหน้ารถลงไป แลดูราวกับว่าพื้นถนนราบเรียบดำสนิทเป็นแผ่นเดียว แต่พอรถแล่นด้วยความเร็วผ่านเข้าไปบริเวณตรงนั้น ปรากฏว่า ผิวถนนเป็นลูกคลื่นที่มองจากที่สูงไม่เห็น รถทัวร์การ์ตูนโยนตัวโยกเยกขึ้นลงทั้งคัน เหมือนผีเข้า
“เดี๋ยวแหนบหัก” พี่อ้วนคนขับรถบ่นดัง ๆ ให้ผู้เขียนฟัง
“โห...รถโคลงเหมือนเรือใบ” ผู้เขียนพูดเสริม เพื่อสร้างบรรยากาศ
มองออกไปจากมุมสูง และกว้างร้อยแปดสิบองศา ผ่านกระจกหน้ารถแผ่นมหึมา ทิวทัศน์ที่แลเห็นช่างแปลกหูแปลกตา กว่าที่เคยมองเห็นจากหน้าต่างด้านข้างรถ เมื่อโดยสารในยามปกติ เพราะถ้าไม่ใช่หน้าเทศกาลจะนั่งด้านข้างรถ วิวข้างทางก็จะเป็นภาพระยะใกล้ ซึ่งวิ่งผ่านหางตาเราไปอย่างรวดเร็วตามความเร็วของรถทัวร์ แต่เมื่อมานั่งหน้ารถเช่นในยามนี้นั้น นอกจากจะเห็นภาพกว้าง ระดับโปสเตอร์พาโนรามาแล้ว ทัศนียภาพทั้งแผ่น มันไม่ได้วิ่งผ่านหางตาเราไปเหมือนเดิม แต่ว่า มันจะวิ่งเข้ามาหาตัวเรา และดูจะวิ่งเข้ามาไม่เร็วมาก เหมือนอย่างวิวด้านข้าง ทำให้มีเวลาได้เพลินกับทิวทัศน์ ได้นานขึ้นกว่าเดิม
หลังจากเพลินกับการชมวิวอันคุ้นเคย แต่มองด้วยมุมมองใหม่ มาพักใหญ่แล้ว ผู้เขียนก็เริ่มได้สติพิจารณาว่า ตัวเองนั่งอยู่ห่างจากแผ่นกระจกหน้ารถ เพียงประมาณไม่ถึงวา ด้วยความเร็วที่รถทัวร์กำลังแล่นอยู่นี้ ถ้าพี่แกเกิดเหยียบเบรกกะทันหัน ตัวผู้เขียนจะพุ่งกระฉูดทะลุจอ กระเด็นออกไปก่อนใครเพื่อนเลย ตัวคนขับซึ่งนั่งอยู่ในหลุมด้านขวามือผู้เขียน เขายังมีที่กำบังอยู่ข้างหน้า เป็นที่วางแผงอุปกรณ์แสดงผลของรถ แต่อุปกรณ์เสียหมดแล้วมั้ง? เพราะผู้เขียนพยายามจะมองว่า รถซิ่งด้วยความเร็วเท่าไร เห็นเข็มบอกความเร็ว ตายอยู่อย่างนั้นตั้งแต่ต้น ส่วนเด็กรถทั้งสองคน ก็นั่งอยู่ในหลุมบริเวณประตูบันไดทางด้านซ้ายมือของผู้เขียน บริเวณนั้นก็มีที่กำบัง เป็นแผ่นเหล็กตัวถังรถส่วนหน้า ต่อเนื่องไปจากที่คนขับ ตัวผู้เขียนนั่งอยู่ในที่สูงระดับเดียวกับแผ่นกระจกหน้ารถ ไม่มีสิ่งกีดขวางมากางกั้น นอกจากกระจกใสแผ่นโตเบ้อเร่อเบ้อร่า อันเป็นกระจกหน้ารถ ผู้เขียนเริ่มจินตนาการ เห็นฉากน่าตื่นเต้นในภาพยนตร์ประเภทมิชชั่นอิมพอสซิเบิ้ล ที่พระเอกก็ดี ผู้ร้ายก็ได้ กระเด็นทะลุแผ่นกระจกรถหรือแผ่นกระจกอาคาร หรือแผ่นกระจกหน้าต่าง เห็นภาพช้าสโลว์โมชั่นของเศษกระจก กระจุยตามตัวพระเอก ที่ตีลังกากระเด็นเคว้งคว้างออกไป...และรอดตาย! (แต่ถ้าเป็นผู้ร้าย ขี้มักจะเคว้งออกไปตาย)
ครั้นจินตนาการได้ดังนั้นแล้ว โดยไม่รู้ตัว...ผู้เขียนก็เอี้ยวตัวเอื้อมมือและแขนซ้าย ไปจับเหล็กราวทางลงบันไดหน้า เอาไว้อย่างมั่นคง ทั้ง ๆ ที่แต่เดิม นั่งเพลิดเพลินกับวิวหน้ารถ โดยไม่ได้คิดวิตกอะไรเลยแม้แต่น้อย ไม่เกาะยึดและไม่ยึดติด ปล่อยวางมาโดยตลอด
“ผมต้องกินยาคุม..” คนขับรถร่างใหญ่อ้วนตุ๊ต๊ะ กระเดือกยาลงคอ แล้วบอกแก่ผู้เขียน ก่อนที่ผู้เขียนจะสะดุ้งสงสัยไปมากกว่านั้น เขาก็ขยายความต่อไปว่า เขาเป็นโรคอ้วนและเบาหวาน เขาต้องควบคุมน้ำตาลในเลือด ได้ยินเขาเล่าถึงโรคประจำตัวของเขาแล้ว ผู้เขียนยิ่งยึดราวบันไดแน่นขึ้นอีก นึกในใจว่า โรคพวกนี้เคยได้ยินมาว่า มีสิทธิเกิดโรควูบตามมาได้ง่าย ๆ พิจารณาเห็นขวดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง มากมายหลายขวด ที่เป็นขวดเปล่าดื่มแล้ว วางเรียงรายอยู่ในซอกที่นั่งคนขับ ผู้เขียนนึกสงสัยในใจว่า วันสองวันที่ผ่านมาในฤดูเทศกาล พี่แกขับรถทางไกล เที่ยวเร่โฉบหาคนโดยสาร มากี่เที่ยวแล้ว? ผู้เขียนนึกในใจว่า ถ้าพี่แกวูบและเบรกกระทันหันขึ้นมา อะไรจะเกิดขึ้นแก่เรา?
ผู้เขียนจะเปิดโอกาสให้ท่านผู้อ่าน จินตนาการเอาเอง เห็นฉากน่าตื่นเต้นในภาพยนตร์ประเภทมิชชั่นอิมพอสซิเบิ้ล ที่พระเอกพุ่งกระฉูด กระเด็นทะลุแผ่นกระจกรถ หรือแผ่นกระจกหน้าต่าง เห็นภาพช้าสโลว์โมชั่นของเศษกระจก กระจุยตามตัวพระเอก ที่ตีลังกากระเด็นเคว้งคว้างออกไป...และรอดตาย!
"นั่งให้สบายเลยแพ่”
ผู้เขียนก็ถึงบางอ้อ รู้เลยว่าตอนที่ตะโกนถามอยู่ข้างล่างก่อนขึ้นรถ ร้องถามว่ามีที่นั่งเปล่า ทำไมเธอถึงไม่ยอมตอบ โธ่...ที่นั่งมันมีชัวร์ ๆ อยู่แล้ว จะต้องถาม และตอบกันทำไม หลังจากนั่งขัดสมาธิบนเสื่อข้าง ๆ คนขับอยู่ครู่ใหญ่ ผู้เขียนจึงรวบรวมสติเสียใหม่ แล้วถามเด็กรถอย่างชัดเจน อีกครั้ง ว่า
"เบาะที่นั่ง จะว่างมั่งมั๊ยเนี่ย”
ซึ่งเด็กรถหญิงตัวอ้วน ๆ ตอบว่าซึ่งเด็กรถหญิงตัวอ้วน ๆ ตอบว่า
“มีคนลงอยู่เรื่อยแหละพี่ ถึงปราณคนลงตั้งหลายคน”
ตายโหง ผู้เขียนนึกอุทานอยู่ในใจ กว่าจะถึงปราณบุรีก็ใกล้ค่ำแล้วล่ะ
รถวิ่งเสริมหน้าเทศกาล ข้างรถวาดรูปตัวการ์ตูนคันนั้น บีบแตรแป๊น ๆ เรียกคนตลอดทาง มีแต่คนขึ้นไม่มีคนลงสักคนเดียว จนถึงใกล้ ๆ ปากทางเข้าอำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร บริเวณปากทางดังกล่าวนั้น มีศาลาที่พักข้างทางของกรมทางหลวง ในศาลา มีชายฉกรรจ์นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่หลายคน ซึ่งรถการ์ตูนก็ชะลอ โฉบเข้าไป เรียกคนขึ้นรถอีก โดยเด็กรถผู้หญิงตัวอ้วน ๆ เปิดประตูรถ พลางยืนที่บันไดยื่นหน้าออกไป ร้องถามชายเหล่านั้นในศาลา ว่า
“เพชรบุรีมั๊ยพี่-เพชรบุรี กรุงเทพฯมั๊ยพี่-กรุงเทพฯ”
ชายคนหนึ่งที่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในศาลา ร้องตอบน้องอ้วนว่า
“บ้านอยู่นี่!”
ผู้เขียนจึงหันไปบอกพี่อ้วน คนขับรถทัวร์การ์ตูน ว่า
"พี่ ๆ ยาวไปเลยดีกว่า บ้านเขาอยู่นี่”
เรื่อยมาถึงบางสะพานน้อย แล้วต่อมาก็ถึงบางสะพานใหญ่ มีผู้โดยสารขึ้นมาอีกทั้งสองแห่ง รถแล่นบนถนนเพชรเกษมต่อมาอีกพักหนึ่ง แก๊ซใกล้จะหมด คนขับแวะเติมแก๊ซ ที่ปั้มริมทาง นานหลายนาที จนฝรั่งบนรถ ก็ลงจากรถ มายืนรับลมอยู่ข้างล่าง ผู้เขียนลงไปเดินดูเขาเติมแก๊ซ ลงถังแก๊ซแปดถังตอนท้ายรถ พบว่า เขาเติมกันเป็นกิโลกรัม และคิดสตางค์ตามจำนวนกิโลกรัมที่เติม เมื่อเติมเต็มทั้งแปดถัง เครื่องเติมแก๊ซหยุดกึกโดยอัตโนมัติ ผู้เขียนจึงเดินมาบอกคนขับรถ ซึ่งนั่งจุมปุ้ก จมกองไขมันพันกาย อยู่กับพวงมาลัยตอนหน้ารถ ว่า
“พี่ ๆ เต็มแล้ว”
ได้ยินดังนั้น พี่แกก็สตาร์ทเครื่อง กระหึ่มขึ้นทันที ข้างฝ่ายเด็กรถอ้วนผอมทั้งสองคน ก็เที่ยวเดินไล่ต้อนเรียกผู้โดยสาร ขึ้นรถการ์ตูน เพื่อออกเดินทาง มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ กันต่อไป...
นั่งสัปหงกหลับ ๆ ตื่น ๆ จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า เลยอำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มาแล้ว รถทัวร์การ์ตูนจอดแวะให้ผู้โดยสารลงไปรับประทานอาหารและใช้ห้องน้ำ ณ สถานีพักรถแห่งหนึ่ง โดยเด็กรถผู้หญิงตัวอ้วน ๆ ประกาศแก่ผู้โดยสารทั้งหลาย ว่า
“จอดกินอาหาร ยี่สิบนาที”
ซึ่งผู้เขียนร้องถาม เพื่อความชัวร์ ว่า
“กินฟรีเปล่า?”
ซึ่งเด็กรถผู้ชายตัวผอม ๆ ตอบดัง ๆ แบบมีอุปมาอุปมัย ว่า
"นั่นมันรถวีไอพีแล้วล่ะ!”
ซึ่งผู้เขียนก็รับทราบโดยดุษณี และโดยจ๋องสนิท เจียมเนื้อเจียมตัว พลางนึกในใจว่า กูว่าแล้ว ต้องเสียเงินแหงเลย
ที่พักรถดังกล่าวนั้น มีลักษณะคล้ายกับร้านเซเว่นขนาดใหญ่มาก ๆ สินค้าวางขายส่วนใหญ่จะเป็นของที่ระลึกประเภทของกิน เช่น กล้วยอบเนย กล้วยตากอบน้ำผึ้ง ทุเรียนทอดแผ่นบาง ๆ คล้ายมันฝรั่งทอด ขนมเปี๊ยะชนิดเปลือกหน้าเปลือกบาง และสอดใส้นานาชนิด มีร้านขายข้าวแกง และมีห้องอาหารไว้เลี้ยงอาหารฟรี สำหรับผู้โดยสารรถวีไอพี ส่วนพวกเราผู้โดยสารรถทัวร์การ์ตูน ต้องซื้ออาหารกินเอง ผู้เขียนซึ่งควบคุมน้ำหนักตัวอย่างเคร่งครัด ซื้อกล้วยเล็บมือนางตากแห้งกล่องเล็ก ๆ กับซื้อน้ำแร่หนึ่งขวด มานั่งรับประทานที่ม้าหินใกล้ ๆ รถทัวร์ เพราะเกรงว่า รถทัวร์การ์ตูนมันจะทิ้งเราไป โดยสารมาครึ่งวัน ชักรู้แล้วว่า วางใจไม่ใคร่จะได้ พี่แกไม่รู้หรอกว่ามีผู้โดยสารทั้งรถกี่คน ขาดหายไปคนสองคนพี่แกก็ไม่มีวันรู้ หรือถึงรู้ แกก็อาจจะไม่สนใจเราก็ได้
การเดินทางบนถนนเพชรเกษม ช่วงก่อนถึงกุยบุรี ถนนขรุขระ ปุปะ และผิวถนนเสียตลอดทาง คล้าย ๆ กับถนนมิตรภาพช่วงก่อนถึงโคราช สมัยที่ยังไม่มีการปรับปรุงถนนและผิวการจราจรครั้งใหญ่ ความขรุขระของผิวถนน เขย่ารถทัวร์การ์ตูนคันเบ้อเร่อ สั่นสะเทือนอย่างแรงทั้งคัน พี่อ้วนคนขับบ่นกับผู้เขียนว่า
“ดีไม่ดีอะหลั่ยหลุด!”
และบางตอน เมื่อมองผ่านกระจกหน้ารถลงไป แลดูราวกับว่าพื้นถนนราบเรียบดำสนิทเป็นแผ่นเดียว แต่พอรถแล่นด้วยความเร็วผ่านเข้าไปบริเวณตรงนั้น ปรากฏว่า ผิวถนนเป็นลูกคลื่นที่มองจากที่สูงไม่เห็น รถทัวร์การ์ตูนโยนตัวโยกเยกขึ้นลงทั้งคัน เหมือนผีเข้า
“เดี๋ยวแหนบหัก” พี่อ้วนคนขับรถบ่นดัง ๆ ให้ผู้เขียนฟัง
“โห...รถโคลงเหมือนเรือใบ” ผู้เขียนพูดเสริม เพื่อสร้างบรรยากาศ
มองออกไปจากมุมสูง และกว้างร้อยแปดสิบองศา ผ่านกระจกหน้ารถแผ่นมหึมา ทิวทัศน์ที่แลเห็นช่างแปลกหูแปลกตา กว่าที่เคยมองเห็นจากหน้าต่างด้านข้างรถ เมื่อโดยสารในยามปกติ เพราะถ้าไม่ใช่หน้าเทศกาลจะนั่งด้านข้างรถ วิวข้างทางก็จะเป็นภาพระยะใกล้ ซึ่งวิ่งผ่านหางตาเราไปอย่างรวดเร็วตามความเร็วของรถทัวร์ แต่เมื่อมานั่งหน้ารถเช่นในยามนี้นั้น นอกจากจะเห็นภาพกว้าง ระดับโปสเตอร์พาโนรามาแล้ว ทัศนียภาพทั้งแผ่น มันไม่ได้วิ่งผ่านหางตาเราไปเหมือนเดิม แต่ว่า มันจะวิ่งเข้ามาหาตัวเรา และดูจะวิ่งเข้ามาไม่เร็วมาก เหมือนอย่างวิวด้านข้าง ทำให้มีเวลาได้เพลินกับทิวทัศน์ ได้นานขึ้นกว่าเดิม
หลังจากเพลินกับการชมวิวอันคุ้นเคย แต่มองด้วยมุมมองใหม่ มาพักใหญ่แล้ว ผู้เขียนก็เริ่มได้สติพิจารณาว่า ตัวเองนั่งอยู่ห่างจากแผ่นกระจกหน้ารถ เพียงประมาณไม่ถึงวา ด้วยความเร็วที่รถทัวร์กำลังแล่นอยู่นี้ ถ้าพี่แกเกิดเหยียบเบรกกะทันหัน ตัวผู้เขียนจะพุ่งกระฉูดทะลุจอ กระเด็นออกไปก่อนใครเพื่อนเลย ตัวคนขับซึ่งนั่งอยู่ในหลุมด้านขวามือผู้เขียน เขายังมีที่กำบังอยู่ข้างหน้า เป็นที่วางแผงอุปกรณ์แสดงผลของรถ แต่อุปกรณ์เสียหมดแล้วมั้ง? เพราะผู้เขียนพยายามจะมองว่า รถซิ่งด้วยความเร็วเท่าไร เห็นเข็มบอกความเร็ว ตายอยู่อย่างนั้นตั้งแต่ต้น ส่วนเด็กรถทั้งสองคน ก็นั่งอยู่ในหลุมบริเวณประตูบันไดทางด้านซ้ายมือของผู้เขียน บริเวณนั้นก็มีที่กำบัง เป็นแผ่นเหล็กตัวถังรถส่วนหน้า ต่อเนื่องไปจากที่คนขับ ตัวผู้เขียนนั่งอยู่ในที่สูงระดับเดียวกับแผ่นกระจกหน้ารถ ไม่มีสิ่งกีดขวางมากางกั้น นอกจากกระจกใสแผ่นโตเบ้อเร่อเบ้อร่า อันเป็นกระจกหน้ารถ ผู้เขียนเริ่มจินตนาการ เห็นฉากน่าตื่นเต้นในภาพยนตร์ประเภทมิชชั่นอิมพอสซิเบิ้ล ที่พระเอกก็ดี ผู้ร้ายก็ได้ กระเด็นทะลุแผ่นกระจกรถหรือแผ่นกระจกอาคาร หรือแผ่นกระจกหน้าต่าง เห็นภาพช้าสโลว์โมชั่นของเศษกระจก กระจุยตามตัวพระเอก ที่ตีลังกากระเด็นเคว้งคว้างออกไป...และรอดตาย! (แต่ถ้าเป็นผู้ร้าย ขี้มักจะเคว้งออกไปตาย)
ครั้นจินตนาการได้ดังนั้นแล้ว โดยไม่รู้ตัว...ผู้เขียนก็เอี้ยวตัวเอื้อมมือและแขนซ้าย ไปจับเหล็กราวทางลงบันไดหน้า เอาไว้อย่างมั่นคง ทั้ง ๆ ที่แต่เดิม นั่งเพลิดเพลินกับวิวหน้ารถ โดยไม่ได้คิดวิตกอะไรเลยแม้แต่น้อย ไม่เกาะยึดและไม่ยึดติด ปล่อยวางมาโดยตลอด
“ผมต้องกินยาคุม..” คนขับรถร่างใหญ่อ้วนตุ๊ต๊ะ กระเดือกยาลงคอ แล้วบอกแก่ผู้เขียน ก่อนที่ผู้เขียนจะสะดุ้งสงสัยไปมากกว่านั้น เขาก็ขยายความต่อไปว่า เขาเป็นโรคอ้วนและเบาหวาน เขาต้องควบคุมน้ำตาลในเลือด ได้ยินเขาเล่าถึงโรคประจำตัวของเขาแล้ว ผู้เขียนยิ่งยึดราวบันไดแน่นขึ้นอีก นึกในใจว่า โรคพวกนี้เคยได้ยินมาว่า มีสิทธิเกิดโรควูบตามมาได้ง่าย ๆ พิจารณาเห็นขวดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง มากมายหลายขวด ที่เป็นขวดเปล่าดื่มแล้ว วางเรียงรายอยู่ในซอกที่นั่งคนขับ ผู้เขียนนึกสงสัยในใจว่า วันสองวันที่ผ่านมาในฤดูเทศกาล พี่แกขับรถทางไกล เที่ยวเร่โฉบหาคนโดยสาร มากี่เที่ยวแล้ว? ผู้เขียนนึกในใจว่า ถ้าพี่แกวูบและเบรกกระทันหันขึ้นมา อะไรจะเกิดขึ้นแก่เรา?
ผู้เขียนจะเปิดโอกาสให้ท่านผู้อ่าน จินตนาการเอาเอง เห็นฉากน่าตื่นเต้นในภาพยนตร์ประเภทมิชชั่นอิมพอสซิเบิ้ล ที่พระเอกพุ่งกระฉูด กระเด็นทะลุแผ่นกระจกรถ หรือแผ่นกระจกหน้าต่าง เห็นภาพช้าสโลว์โมชั่นของเศษกระจก กระจุยตามตัวพระเอก ที่ตีลังกากระเด็นเคว้งคว้างออกไป...และรอดตาย!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น