"คุณคิดว่า สิทธิเสรีภาพ จะอยู่รอดได้สักกี่น้ำ ถ้าเราเหยียบย่ำทำลาย ความคิดทางศิลธรรมจรรยา และความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ทิ้งเสียให้หมด?"
-แซมมวล อะดัม Samuel Adams นักปรัชญาการเมืองอเมริกัน ศตวรรษ18

Vive le Roi राजा चिरंजीव

Vive le Roi  राजा चिरंजीव
ทรงพระเจริญ Vive le Roi! ¡Que viva el REY! राजा चिरंजीव

du Contrat social

du Contrat social
แบ่งปัน เพื่อส่งเสริมระบบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

สัญญาประชาคม


Infos du livre audio - Audiocite.net ฌัง-ฌาค รุซโซ "สัญญาประชาคม" ภาษาฝรั่งเศส

The Prince


Infos du livre audio - Audiocite.net "The Prince" นิโกโล มัคเคียเวลลี ภาษาฝรั่งเศส

หน้า นวนิยาย ฉันเขียน

ขอ แนะนำนวนิยาย ต่อท่านผู้แวะเยือน

ชื่อ   ชีวิตของศูรยา
เดฟ นาพญา

1) นวนิยายชีวิตแนวโรแมนติค-ผจญภัย  เรื่องราวของมิตรภาพ ความรัก
การพลัดพราก ความปวดร้าว ในชีวิตของตัวละคร

คำคัด "...เข้าใจดีว่าความรักไม่ใช่เรื่องง่าย  ความรักไม่ใช่การตั้งบริษัทนะเธอ...  ฉันเห็นมามาก  เห็นคนเขาครองเรือนกันเหมือนทำการค้า  พวกเขาจึงทำการค้ากันอยู่บนความล่มจมของความรัก  ไม่มีใครมีความสุขสักคน  ความรักไม่ใช่ business partnership  ฉันก็ดี  คุณแม่เธอก็ดี  เราไมใช่คนแบบนั้น  เธอไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนจะตัดสินใจเรื่องนี้  อย่าสักคิดแต่จะสะเพร่า  หยิบฉวยสิ่งที่อยู่ใกล้มือ  เธอไม่ต้องฟังฉันหรอก  ฟ้งหัวใจของเธอก็พอ..."  ตัวละครผู้ใหญ่พูดกับพระเอก

หรือ 2) อ่านจากจดหมายแนะนำนวนิยาย ไปที่ผจก.สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ความว่า...

สวัสดีครับ คุณ...

เจตนาและสไตล์ของนวนิยายเรื่องนี้
1) ต้องการบันทึกความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย จากยุคพัฒนาเศรษฐกิจ
ถึงยุค "นรกแตก" และต้นยุคโลกาภิวัฒน์ผ่านชีวิตตัวละคร
2) แฝงการวิจารณ์สังคม-เศรษฐกิจ แบบบาง ๆ ลงไว้ด้วย
3) ใช้ความจริงใจ ในการเขียนและในการเรียบเรียงเรื่องราว

คิดว่ามีแค่นี้นะครับ ความตั้งใจในการเขียน
โดยส่วนตัว ผมก็ไม่คิดว่าผมทำได้ดี เพืยงแต่ดีใจที่คิดแล้วได้ทำจนจบ
-ขอขอบคุณ ที่กรุณารับพิจารณา อย่างน้อยๆ ผมก็มีผู้อ่านเพิ่มอีก 1 ท่าน

[จบ-จดหมาย]
----------------------------------------------------------------------------------

โหลดทั้งเล่ม 
แบ่งเป็น 3 sections

คลิกโหลด ตอน ๑-๑๒
นวนิยาย-ศูรยา sec 1 (ตอน ๑-๑๒ หน้า ๐-๘๘)


คลิกโหลด ตอน ๑๓-๒๔ 
นวนิยาย-ศูรยา sec 2 (ตอน ๑๓-๒๔ หน้า ๘๙-๑๘๕)


คลิกโหลด ตอน ๒๕-๔๐ 
นวนิยาย-ศูรยา sec3 (ตอน ๒๕-๔๐ หน้า ๑๘๖-๒๖๖)

-------------------------------------------------------------------------------------------------

โพสต์เป็นตัวอย่าง...ตอนที่ 1

ตอนที่ ๑

เมื่อฟองสบู่แตก


“ศูรยา ลื้อจะทำหรือไม่ทำ?”
ศูรยานั่งนิ่งเหมือนเทวรูปหล่อสัมฤทธิ์ เขามองหน้าคุณเสี่ยด้วยความแปลก

ใจแกมประหลาดใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขามองปืนพก .38 มาตรฐานตำรวจ ที่คุณเสี่ยถืออยู่ในมือและกวัดแกว่งไปมาอยู่ตรงหน้า นาฑีวิกฤติเช่นนี้ การอ่านใจคนต้องไม่พลาด ศูรยาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ของคุณเสี่ย อย่างใจเย็น เขาทำใจได้แล้วและอ่านเกมขาด เกมนี้เป็นเกมของชีวิต

“คุณเสี่ยก็ทราบ ว่าผมทำไม่ได้ ผมจะโอนเงินจำนวนมากอย่างนั้น ไปเข้าบัญชีคุณเสี่ยที่ฮ่องกงได้อย่างไรกัน? เงินเป็นของธนาคาร ในที่สุดก็จะมีคนรู้เห็นหลายคนอยู่ดี ในที่สุดเขาก็ตามถึงตัวคุณเสี่ยอยู่ดี”

นายธนบดี ธนกิจ หรือคุณเสี่ย แสดงอาการบันดาลโทษะ ผลุดลุกจากเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ที่มีพนักพิงสูงท่วมหัวคนนั่ง บรรษัทธนกิจพาณิชย์ เป็นบริษัทการเงินขนาดใหญ่กว่าธนาคารพาณิชย์บางแห่ง และเป็นธุรกิจการเงินระดับแนวหน้าของประเทศ นายธนบดี ธนกิจ เป็นผู้จัดการใหญ่ แต่ในนาฑีนี้เขาสั่งการให้ผู้จัดการทั่วไปของบรรษัท ที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ของเขา ให้ปฎิบัติหน้าที่ตามที่เขาประสงค์ไม่ได้ วิกฤติการณ์ด้านการเงิน ทำให้ธนาคารต่างๆรวมทั้งบรรษัทแห่งนี้ ประสบภาวะขาดแคลนสภาพคล่องอย่างหนัก

“เรียกอาอ๋อ มาเลย”

คุณธนบดีออกคำสั่ง ศูรยาลุกจากเก้าอี้ เดินออกจากห้องทำงานอันใหญ่โตเหลือเชื่อของท่านกรรมการผู้จัดการใหญ่ นัยน์ตาของเขาเพ่งอยู่ที่เงาสะท้อนในกระจกเบื้องหน้า สังเกตเห็นอากัปกิริยาของคุณเสี่ย ที่ยืนถือปืนอยู่กับโต๊ะด้านหลังของเขาไม่วางตา ครั้นศูรยาเห็นเงาในกระจกของคุณธนบดีทรุดนั่งลงกับโต๊ะทำงาน เขารู้สึกโล่งใจแต่ก็ไม่ละสายตาจากเงาสะท้อนในกระจกตรงหน้า ทั้งนี้ก็เพื่อความไม่ประมาท กระทั่งเขาเดินไปถึงประตูห้อง และผลักประตูกระจกเปิดออกไปยังกองเลขานุการของคุณเสี่ย

“ช่วยเชิญคุณกนกเลขา ขึ้นมาด่วนด้วย”

เขาบอกเลขานุการ ให้เชิญผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านปฎิบัติการ ซึ่งเป็นลูกสาวคนเก่งของคุณธนบดี นั่นเอง

“คุณอ๋อ เพิ่งบอกหนูเมื่อกี้นี่เอง ว่าคุณอ๋อกำลังขึ้นลิฟต์มาแล้วค่ะ”

“คุณโทรลงไปเชิญอีกที ดีกว่า”

ศูรยา ไม่ต้องการความพลาดพลั้งใดๆในนาฑีวิกฤติ แต่ยังไม่ทันที่เลขานุการจะยกหูโทรศัพฑ์ คุณกนกเลขาก็เปิดบานเฟี้ยม เข้ามาในอาณาบริเวณกองเลขานุการส่วนตัวของกรรมการผู้จัดการใหญ่เรียบร้อยแล้ว ใบหน้าของเธอบึ้งตึง ไม่ทักทายผู้ใด เธอเดินตรงมาที่ประตูกระจกห้องกรรมการผู้จัดการใหญ่ และเดินเฉียดผ่านศูรยาจนแทบ จะชน ตรงไปผลักประตูเข้าห้องทำงานคุณพ่อของเธอ แต่ก่อนที่เธอจะปล่อยให้ประตูปิดไล่หลัง เธอหยุดยืนขวางที่บานประตูไว้ พลางหันหน้ามาทางศูรยา และพูดห้วนๆว่า

“อ้าว ก็เข้ามาด้วยกันสิ ยืนเฉยอยู่ทำไมล่ะ?”

เลขานุการหน้าห้องรู้ดี ว่าอะไรกำลังเกิดกับธุรกิจการเงินขนาดใหญ่แห่งนี้ เธอทราบดีเช่นเดียวกับสาธารณชนทั่วไป ที่ทราบจากข่าวพาดหัวเรื่องความไม่ชอบมา พากลของสถาบันการเงินแห่งนั้น ในหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน เธอก้มหน้าลงเคาะคีบอร์ดหน้าเครื่องพีซีง่วนอยู่ ทำท่าดุจจะว่ามีงานยุ่งเสียเหลือเกิน ศูรยาเดินตามกนกเลขาเข้าไป เขามึนงงกับเหตุการณ์ตลอดทั้งวันวันนั้น ขณะนั้นเวลาประมาณ 18.00 น. ซึ่งเป็นเวลาหลังเลิกงานแล้วสำหรับพนักงาน นับแต่เช้าวันนั้นเป็นต้นมา เขาได้พบกับกนกเลขาครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่สิบเท่าไหร่เขาก็จำไม่ได้

“ป๊าจะให้ศูรยา โอนเงินได้อย่างไร รหัสลับอยู่กะอ๋อ ผู้จัดการทั่วไปสั่ง มา อ๋อไม่ทำเสียอย่างใครจะทำไม? ยกเว้นป๊าเคาะรหัสของป๊า คู่มากับรหัสของศูรยา อย่างนั้นคำสั่งจะมาเปิดที่โต๊ะอ๋อ ถ้าอ๋อไม่ทำ อ๋อจะมีความผิด แต่ถ้าอ๋อทำไป ความผิดก็ตกกะป๊ากับศูรยา ป๊าเข้าใจที่อ๋อพูดมั๊ย? อ๋อพูดมาตั้งแต่เช้าแล้ว ถ้าป๊าคิดว่าศูรยาคนเดียวจะมาลักไก่เข้ามาในระบบนี้ได้ ป๊าคิดผิด! แล้วระบบสวิฟต์เนี่ยะ มันบันทึกหลักฐานทั่วโลก ใครจะไปลบคำสั่งออกได้ เราก็จะหมดอนาคตกันทุกคน แต่อ๋อขอพูดคำเดียวเป็นคำเดียวนะป๊า วันนี้ทั้งวันอ๋อเหนื่อยจริงๆ พูดคำเดียวจริงๆนะป๊า ถ้าป๊ากับศูรยาคิดจะทำ อ๋อยอมแล้วฮะ”

“อั้วะ เป็นเจ้าของธนาคารนี้นา!”

คุณธนบดี ผุดลุกจากที่นั่งพลางตะโกนเสียงดัง

“นั่นมันเป็นความจริงเมื่อวานซืน นะป๊า”

คุณธนบดี กวัดแกว่งปืนพก .38 ไปมา แต่ชี้ปากกระบอกไปที่หน้าต่าง กนกเลขาปราดเข้าไปถึงตัว และตบมือคุณธนบดีอย่างแรง จนปืนกระบอกนั้นกระเด็นหล่นลงกระทบพื้นใกล้ๆหน้าต่างตึก เสียงดังโครมใหญ่ ศูรยาวิ่งเข้าไปใช้เท้าเขี่ยกระบอกปืน จนกระเด็นพ้นไปไกลจากบริเวณนั้น แล้วเขาถอยมายืนคุมเชิงอยู่ไกล้กระบอกปืน ที่สงบนิ่งอยู่กับพื้น สัญชาติญาณบอกว่า เขาไม่ควรใช้มือไปแตะต้องมันแม้แต่น้อย ถ้าเขาไม่ต้องการให้รอยนิ้วมือของเขา เปรอะเปื้อนอยู่กับปืนกระบอกนั้น

คุณธนบดี ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ผู้บริหารขนาดใหญ่ท่วมหัวอีกคำรบหนึ่ง กนกเลขาเดินเข้าไปใกล้ที่นั่งของบิดา เธอใช้มือจับบ่าบิดา พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สำรวมขึ้น

“เงินของเรายังมีนะป๊า กินกันทั้งชาติก็ไม่หมด ที่เสียหายไปทั้งหมดนั้นเป็นเงินคนอื่นทั้งนั้น กับเสียหน้าป๊า แต่อ๋อไม่แคร์หรอกป๊าเรื่องหน้าตา เราเอาตัวรอดดีกว่า อ๋อบอกแล้วไงว่า เงินของเรายังมี รัฐบาลเดี๋ยวก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนมา ไม่นานคนก็ลืมเรื่องของเรา ถ้าเรามีเงิน โอกาสที่เราจะฟื้นกันอีก ก็ยังมี แต่ถึงตอนนั้นจะเป็นโอกาสของอ๋อนะ ไม่ใช่โอกาสของป๊า”

คุณธนบดี ยกฝ่ามือทั้งสองปิดหน้า เขาร่ำให้เหมือนเด็กๆ ศูรยาไม่เคยเห็นชายอายุประมาณห้าสิบเศษ ร่ำให้มาก่อนเลยในชีวิต แต่เขายืนมองภาพนั้นอย่างสงบนิ่ง และดูเหมือนปลายเท้าจะระมัดระวังกระปอกปืนมากยิ่งขึ้น มือขวาของเขาล้วงลงไปจับ ผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงไว้มั่น นึกในใจว่าถ้าจำเป็น เขาคงต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าจับปืนกระบอกนั้น ขึ้นมาเทกระสุนออกให้หมด

กนกเลขาสบตาเขา พลางบุ้ยปากไปที่กระบอกปืน เพื่อให้เขาเก็บไปไว้ในที่ ปลอดภัย ศูรยาล้วงผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋า ก้มลงหยิบปืนขึ้นมาเทกระสุนออก แล้วก็ต้องแปลกใจอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเขาพบว่า ปืนกระบอกนั้นไม่มีกระสุนอยู่เลยแม้แต่ นัดเดียว แต่เขาก็นำไปเก็บไว้ในตู้เอกสารที่มีดอกกุญแจค้างอยู่ เมื่อวางปืนลงเรียบร้อยแล้ว เขาปิดลิ้นชักตู้เอกสาร พร้อมกับถอดกุญแจออกมาใส่ในกระเป๋ากางเกง

“อั้วะไม่น่า..ฮือๆๆ”

คุณธนบดี พูดระล่ำระลักปนเสียงสะอื้น

“ฮือๆๆ อั้วะไม่น่าเชื่ออาเพ้งนา อาเพ้งคนเดียว มันทำอั้วะเจ้งชิบหายหมด

ฮือๆๆ อากวงด้วย อากวงมาหลอกอั้วะทุกเรื่อง ฮือๆๆๆ”

“ไม่มีใครทำให้ลื้อฉิบหายหรอกป๊า อย่ามัวโทษกันให้เสียใจอยู่เลย เราผิด

กันทุกคนแหละป๊า อ๋อก็ผิด ศูรยาก็ผิด ป๊าก็ผิด ผิดหมดทุกๆคน”

“ลื้ออย่าพูดยางงี้ อากวงกะอาเคิ้ยง ผิดคนเดียว มันต้องตายเร็วๆ”

ศูรยา คิดว่าเหตุการน่าจะเป็นปรกติแล้ว เขาเดินเข้าไปใกล้กนกเลขา

พลางล้วงกระเป๋าหยิบกุญแจลิ้นชักที่เก็บปืน ออกมามอบให้เธอไป และทำสัญญาณให้เธอรู้ว่า เขาจะขอตัว และจะปล่อยให้พ่อลูกอยู่กันแต่ลำพัง…

“เปิดประตูเรียกเลขาคุณพ่อเข้ามานะศูรยา คุณรอฉันในห้องทำงานก่อน

อย่าเพิ่งกลับบ้าน ฉันมีเรื่องจะปรึกษา strictly business…”

“ตกลง”

ศูรยา กล่าวตอบ



เวลาประมาณทุ่มเศษ กนกเลขาเดินเข้ามาในห้องทำงานของศูรยา เธอทรุดตัวลงนั่งลงบนโซฟารับแขก อย่างกับคนสิ้นเรี่ยวแรง

“ฉันอยากตาย…”

เธอพึมพำออกมาดังๆ เหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก พร้อมกับเสียงถอน

หายใจเฮือกใหญ่

“ป๊าอาการหนักมากนะวันนี้ พอฉันรู้ว่าคุณอยู่ในห้องป๊า ฉันรีบแจ้นขึ้นมาเลย คุณไม่ต้องเล่าหรอก” กนกเลขาโบกมือห้าม เมื่อเห็นศูรยาขยับจะพูด “ ฉันเดาเรื่องออก ฉันกลัวป๊าจะเป็นอันตรายต่อตัวเอง และต่อคุณ ฉันรู้ด้วยว่าในห้องป๊ามีปืน คุณเป็นยังไงบ้างล่ะ?”

“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ แต่คุณพ่อคุณนะซี คุณคงต้องดูแลท่านใกล้ชิดหน่อย ที่จริงท่านไม่ต้องเข้าออฟฟิศก็ได้ คุณก็รู้ ว่าเราไม่มีงานอะไรจะทำกันแล้ว อีกอย่าง…ถ้าท่านมาออฟฟิศ ท่านก็มีแต่ช้ำใจเสียใจ ไม่มีอะไรดีขึ้น”

“ฉันเชื่อแล้ว ว่าคุณพุดถูก ฉันหมายถึงเรื่องการประกันความเสี่ยงเงินตรา ต่างประเทศ พวกเราไม่มีใครฟังคุณเลย ฉันพูดให้คุณรู้คนเดียวนะ ว่าคุณเป็นฝ่ายถูก คนอื่นๆรวมทั้งฉันด้วย ผิดหมด ผิดหมดทุกคน”

ศูรยาหัวเราะหึๆ กนกเลขาไม่ใช่คนที่จะยอมรับผิดใดๆได้ การรับผิดมีค่าต่อเธอใกล้เคียงกับความตาย แต่การเอ่ยเอื้อนรับผิดของเธอในวันนี้ ไม่มีผลทางจิตวิทยาใดๆต่อศูรยาอีกแล้ว เขาไม่สนใจจะฟังความผิดความถูก ของใครด้วยซ้ำไป รวมทั้งความผิดความถูกของตัวเอง เขาก็ไม่สนใจ เมื่อเหตุการณ์และวันเวลาล่วงเลยมาถึงบัดนั้น ศูรยาได้ไตร่ตรองใคร่ครวญ และตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าเขาจะธำรงชีวิตแห่งตน ต่อไปในเบื้องหน้าอย่างไร

“คุณกำลังชมผมหรือ?”

“ฉันไม่ได้กำลังชมคุณหรอกศูรยา ฉันกำลังด่าตัวเอง วันนี้ฉันเหนื่อยมาก ฉันขอเถอะ เราอย่าทะเลาะกันเลย ฉันขอสักวัน นะคะ”

ศูรยานึกขันกับความอ่อนหวานสำเร็จรูป ที่กนกเลขาชงไว้ที่ปลายประโยค ของเธอ ทุกๆคนบ่นว่าเหนื่อยอ่อนกันทั้งนั้น ตลอดวันๆนี้ เขาจึงไม่คิดจะซ้ำเติมความอ่อนล้าให้ใครอีก แต่ผงเต้าฮวยสำเร็จรูปของกนกเลขา ก็ไม่ช่วยให้เขาสดชื่นขึ้นมาได้แม้แต่น้อย ศูรยาเครียดมาตลอดวัน หลังจากคนทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบครอบครองห้องนั้นอยู่ครู่ใหญ่…ศูรยาก็เอ่ยขึ้นว่า

“แล้วคุณจะทำอย่างไรต่อไป?”

“ฉันโอนเงิน เข้าบัญชีป๊าที่ฮ่องกงไปจำนวนหนึ่ง เพื่อชำะแอลซีปลอมที่ฉันทำขึ้นเอง ลงบัญชีเป็นค่าซื้อซอฟแวร์และบริการหลังขาย ให้บริษัทเงาของเราที่ฮ่องกง เงินไม่มากหรอก สักร้อยกว่าล้าน พอสมเหตุสมผล ฉันไม่ได้บอกเรื่องนี้กับป๊า ช่วงนี้ฉันไม่อยากให้ป๊าใช้เงินเยอะ ในอนาคต เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาอีก เรายังมีเงินที่จะต้องจ่ายพวกนักการเมืองบางคน ก่อนที่พวกเขาจะหันมาแว้งกัดเรา ฉันจะให้ป๊าจ่ายออกจากบัญชีที่ฉันเตรียมไว้นี้”

ปฏิบัติการปลอมๆ และฉ้อฉลทางด้านการเงินเหล่านี้ ศูรยาคุ้นเคยดี ถ้ากนกเลขาเอ่ยมาหนึ่งเรื่อง หมายความว่า ยังมีอีกร้อยเรื่องอยู่เบื้องหลังทุกเรื่อง ล้วนเป็นกลวิธีในการถ่ายเทเงินของบรรษัทการเงิน ซึ่งป๊าของกนกเลขาจะเรียกเอาเองว่า “ธนาคาร” จนเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปในบรรษัทนั้น ว่าที่จริงแล้วเถ้าแก่แกเรียกของแกไปอย่างนั้นเอง และก็ไม่มีใครเคยขัดคอ เป็นการถ่ายโอนเงิน เข้าบัญชีเจ้าของและผู้บริหารระดับสูง โดยผ่านการซื้อของที่จับต้องไม่ได้ เช่น คอมพิวเตอร์ซอฟแวร์ หรือบริการทางธุรกิจบริการอื่นๆ อันยากแก่การตรวจสอบ ความสมเหตุสมผลของรายการทางการเงินเหล่านั้น จะมองเห็นได้ยากโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ที่เรียนหนังสือมาก แต่ฉลาดน้อย และเฉลียวไม่พอ หรือถึงฉลาดพอ ก็ปราศจากกำลังใจที่จะทำ เพราะคนพวกนั้นบางคน ไม่มีความเหนียวแน่นในอุดมคติหรืออุดมการณ์ใด เราซื้อคนพวกนี้ได้ไม่ยาก เพราะส่วนมากก็ไม่เคยพบเห็นเหลี่ยมคูใดๆ นอกจากนั่งท่องหนังสือสอบเอาคะแนน แถมสายตายังวาววาม เมื่อเห็นเงินก้อนโตๆวับแวม แว๊บๆอยู่แต่ไกล

“ผมไม่ได้อยากรู้เรื่องเงิน ผมอยากรู้ว่า พวกคุณจะทำอย่างไรกับชีวิตตัวเอง?”

“ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าคุณถามอะไร แต่ฉันยังตอบไม่ถูก ฉันต้องขอดูสถานการณ์ก่อนสักพัก แต่คุณกับฉันยังดีอยู่นะ เพราะเรากินตำแหน่งลูกจ้าง เรื่องราวทั้งหลายมันยังไม่มาถึงตัวเราง่ายๆหรอก เรายังอยู่เมืองไทยได้ แต่ป๊านะซี ป๊าจะทำอย่างไร คุณต้องช่วยฉันคิด”

“นอนหลับสักคืนหนึ่ง พรุ่งนี้เช้าก็คิดออกเอง คุณไปกินข้าวเย็นกับผมเถอะ มีร้านอาหารฝรั่งเศส ย้ายมาเปิดใหม่แถวถนนเกสร เราไปกิน เบิ้ฟบูกีญ็อง กันดีกว่า ไวน์ของร้านก็พอใช้ได้”

“จะไปไหนก็ไป วันนี้ฉันไปกะคุณทั้งนั้น”

กนกเลขาตอบตกลงทันที โดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา

 
 
 
 
ตอน ๒


ตำนานแห่งรัก


ที่ร้านอาหารฝรั่งเศสชื่อ ลา แซนน์ เมอร์ซิเออร์การิแยร์ กล่าวทักทายศูรยาตามธรรมเนียม เจ้าของร้านชาวฝรั่งเศสผู้นี้ เป็นชาวมณฑลโปรว็องซ์ ได้เข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยกว่ายี่สิบปี มีภรรยาเป็นคนไทยมาแล้วสองคน ภรรยาคนปัจจุบัน ซึ่งทำหน้าเป็นผู้ช่วยกุ๊กด้วย เธอเป็นคนจังหวัดหนองคาย ด้วยเหตุที่รู้จักมักคุ้นกันมานาน และมีน้ำใจให้คนไทยที่พูดฝรั่งเศสได้เป็นพิเศษเสมอ เมอร์ซิเออร์การแยร์ทราบว่า ศูรยาเป็นใครอยู่ในวงการธุรกิจการเงิน และยังรู้ข่าวจากหน้าจอโทรทัศน์ฝรั่งเศสผ่านใยแก้วนำแสงอีกด้วยว่า อะไรกำลังเกิดขึ้นในวงการธุรกิจการเงิน อันยุ่งเหยิงไร้ระบบระเบียบของประเทศไทย เมอร์ซิเออร์การิแยร์ตั้งข้อสังเกตอยู่ในใจว่า ศูรยาพาสุภาพสตรีที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เข้ามาในร้าน โดยไม่ได้โทรศัพฑ์จองโต๊ะล่วงหน้าเช่นปรกติ ด้วยวัยและด้วยความที่เป็นคนพบมากเห็นมาก เขาเดาได้ไม่ยากเลยว่า วันนี้ลูกค้าคนโปรดของเขา มีอาการน่าเป็นห่วง และเขาไม่พึงโอภาปราศรัยมากเกินไป เมื่อทั้งคู่นั่งโต๊ะมุมห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อันเป็นมุมสงบและลับตาคน บังตาด้วยต้นตาลขวดในกระถาง เมอร์ซิเออร์การิแยร์ จึงได้ทักทายอย่างนุ่มนวลกับกนกเลขา

“บ็งซัวร์ มาดมัวแซลส์”

“บ็งซัวร์ เมอร์ซิเออร์”

กนกเลขา รีบพลิกภาษาฝรั่งเศสจากโรงเรียนแม่ชี ที่ยังพอหลงเหลืออยู่บ้าง ทักตอบเมอร์ซิเออร์กานิแยร์ สร้างรอยยิ้มอย่างพึงใจได้จากคู่สนทนา เจ้าของร้านถาม ศูรยาเป็นภาษาฝรั่งเศส อย่างเอาอกเอาใจเป็นพิเศษว่า

“คุณศูรยา จะให้เราทำอาหารอันวิเศษชนิดใด ให้คุณทั้งสองรับประทานดี”

ศูรยาแย้มยิ้มน้อยๆ ช่วยให้ใบหน้าคมขำของเขา มีประกายสดสว่าง พลาง

ตอบว่า

“เบิฟบูกิญญ็อง เมอร์ซิเออร์”

“นั่นเป็นอาหารประจำวันของเราพอดี”

เมอร์ซิเออร์การิแยร์รับคำสั่งอาหาร ของหวาน และเหล้าไวน์ จากโต๊ะนี้ด้วยตนเอง ถือเป็นการให้เกียรติอย่างสูงของภัตตาคารเล็กๆแห่งนั้น สำหรับของหวาน เมอร์ซิเออร์ การิแยร์บอกว่า

“ขอให้ผมเสนอ เคร็ป อันวิเศษของเรา เป็นของหวานสำหรับคุณผู้หญิง จานนี้เป็นของขวัญจากผม ซึ่งคุณศูรยาจะบังอาจมาปฏิเสธไม่ได้ เคร็ปจานนี้จะเคียงด้วย โชโกลา ลนไฟ! เผาด้วยเพลิงของเหล้าอะรามัญญัก ขวดนี้เป็นส่วนตัวของผม นำมาจากฝรั่งเศสเมื่อปลายเดือนก่อน แล้วในกองเพลิงนั้น ผมจะดับไฟให้เย็นเฉียบพลัน ด้วยไอศรีมวะนิลาหนึ่งก้อน เพื่อให้รสชาติไปตัดอย่างดุดัน กับรสขมของช็อคโกแลต”

เจ้าของร้านบรรยายอาหารอย่างศิลปะ พลางทำหน้าเคร่งขรึมเอาจริงเอาจัง กับเมนูที่เขาบอกว่าพิเศษและวิเศษเมนูนั้น แต่ก่อนจะผละไปสั่งอาหารในครัว เมอร์ซิเออร์การิแยร์ลอบพิจารณาเห็นหลายสิ่งหลายอย่าง ซ่อนลึกอยู่ในดวงตาของศูรยา เขาจึงจากไปด้วยประโยคที่ให้กำลังใจอย่างใจจริง แต่ไม่ก้าวก่ายให้ระคายเคือง ว่า

“เราให้รางวัลเล็กๆกับชีวิต แล้วชีวิตจะจัดการตัวมันเอง ไม่เป็นไรหรอกนะศูรยา Ça s’arrange toujours dans la vie!”

ซึ่งแปลว่า ในชีวิตคนเรานั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง มันจะจัดการของมันเองจนลงตัวได้ในที่สุด พอดีกันนั้น เด็กในร้านก็นำออร์เดิฟมาเสิร์ฟ…หลังจากประโยคภาษาฝรั่งเศสที่ว่า แล้วชีวิตจะจัดการตัวมันเอง สะเด็ดเสียงลง

“บ็อง อะเปอติ!”

เจ้าของร้าน กล่าวเชื้อเชิญให้คนทั้งคู่รับประทานออร์เดิฟ ก่อนจะเดินจาก

ไป



ศูรยากับกนกเลขา พูดคุยธุระทุกเรื่องที่สะสมมาตลอดสัปดาห์ แล้วเสร็จใน

ช่วงหลังอาหาร ข้อสรุปที่ดีที่สุดของคนทั้งคู่ก็คือ ให้ศูรยาเขียนใบลาออกย้อนหลังไปสามเดือน ส่วนกนกเลขาจะอยู่โยงในออฟฟิศ โดยเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาแทนศูรยา คุณธนบดีบิดาของกนกเลขา ผู้เป็นเจ้าของบรรษัทการเงิน มีทางเลือกหนทางเดียว คือหายตัวไปเสียจากเมืองไทย การนำคุณธนบดีออกจากประเทศไทย เป็นหน้าที่ของศูรยา ผู้ซึ่งโดยพฤตินัยเขาได้พ้นสภาพการเป็นพนักงาน ออกไปจาก “ธนาคาร” เมื่อสามเดือนก่อนโน้นแล้ว

เอกสารทุกอย่างสามารถจัดทำขึ้นใหม่ได้ และบัญชีเงินเดือนของศูรยาก็สามารถลบออกจากไฟล์ได้ไม่ยาก เพราะบัญชีเงินเดือนผู้บริหารเป็นระบบเล็กๆ แยกโปรแกรมจากบัญชีเงินเดือนทั่วไป ถึงแม้ว่า บรรษัทธนบดีธนกิจ จะเป็นบริษัทมหาชนสมาชิกตลาดหุ้น แต่การบริหารภายใน ยังคงเป็นการบริหารแบบธนาคารส่วนบุคคล หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Private Bank นี่เป็นอภิสิทธิ์ในการทำธุรกิจการเงินในเมืองไทย ซึ่งฝรั่งยังอดอิจฉาไม่ได้



คอนญัคคนละแก้ว ไล่หลังการดื่มกาแฟชงเข้มข้นแบบฝรั่งเศส ซึ่งไม่ใช่กาแฟชงแบบอเมริกัน ที่ใสเสียจนเรามองเห็นก้นแก้ว ช่วยให้คนทั้งสองชื่นมื่นขึ้น จากภาพรูปธรรมอันวุ่นวายฟอนเฟะ บนความพินาศของอาชีพผู้บริหารการเงิน จนคนทั้งสองสามารถฟื้นอารมณ์…ไปสู่ความสดใสเอี่ยมละออ ในอาชีพผู้มีความสุขตลอดกาล อันเป็นอาชีพใหม่ที่ทั้งคู่เพิ่งจะคิดขึ้นได้

…เวลาประมาณสี่ทุ่มเศษ ทั้งสองลุกจากโต๊ะ และอำลาเจ้าของร้านผู้อารี ทั้งคู่เดินมาที่รถยนตร์บีเอ็มดับ บลิวรุ่นไอเอ ที่ใช้เป็นพาหนะ เมื่อรถเคลื่อนเข้าสู่บริเวณถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ศูรยาเอียงหน้ามายิ้มให้กนกเลขาโดยไม่มีสาเหตุ กนกเลขาลอบมองใบหน้าเพียงเสี้ยวหนึ่งของเขาในแสงสลัว พร้อมกับรำพึงอย่างสิ้นหวังในใจว่า ทำไมหนอชายคนนี้ จึงมีแรงเสน่ห์ที่ไม่ยอมคลายมนตราลงไป ตามจำนวนปีที่ได้รู้จักกันมา นับตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาด้วยกัน ในมหาวิทยาลัยอเมริกัน กี่ครั้งกี่หนที่เธอเคยตั้งปณิธานกับตัวเอง เป็นปณิธานสูงสุดเด็ดขาด แต่ล้มเหลวเสมอ นั่นคือ ปณิธานที่จะเคลียร์เขา ออกไปจากพื้นที่ในห้องหัวใจของเธอ



“ธนาคารชาติจะทำอย่างไรกับป๊า?” กนกเลขาเอ่ยถามลอยๆ

“คุณอย่าไปห่วงเด็กเรียนพวกนั้นเลย” ศูรยาตอบ พลางเหยียบคันเร่งไปบนทางลาดขึ้นทางด่วนเฉลิมมหานคร

กนกเลขาทึ่งกับความสามารถอันน่ารักน่าชังของศูรยา ที่จะวางคนทุกคนลงในที่อันควรแก่พวกเขา ได้ทุกคน ทุกเวลา และทุกสถานะการณ์

“กว่าพวกเขาจะได้กลิ่นคุณพ่อคุณ เราคงไปไกลแล้ว คนพวกนั้นถูก

fossilized อยู่ในความเชื่อยชาและความสำคัญตนผิดอย่างถาวร ผู้ทรงคุณวุฒิแต่ไร้สติปัญญา”

กนกเลขาไม่สนใจการให้เหตุผลของศูรยาอีกต่อไป เธอเลื่อนมือของเธอ ไปกุมมือซ้ายของเขาที่วางอยู่บนคอนโซล เธอรู้สึกว้าเหว่เงียบเหงาและว่างเปล่า การพังพินาศของกิจการธนาคารและธุรกิจการเงิน มีผลอย่างลึกซึ้งต่อเธอมากกว่าต่อบิดาเธอเสียอีก บิดาเธอเป็นนักจับแพะชนแกะที่โชคช่วย แต่เธอไม่ใช่เช่นนั้น เธอตั้งใจทำงาน เธอทุ่มเทชีวิตของเธอ เธอต้องการสร้างสิ่งที่จะเป็นอนุสาวรีย์ให้เธอเอง ให้แก่ครอบครัวของเธอ…เธอกำลังก่อร่างสร้างชีวิตทั้งชีวิต นักบริหารสตรีอายุเพียงเลขสามต้นๆ ผู้มีโชคชะตาอันสง่างามอยู่ในอุ้งมือ

ไออุ่นจากอุ้งมือกนกเลขา สัมผัสกับหลังมือศูรยา ปลุกให้เขาย้อนรำลึกถึงกาลเวลาไม่นานนัก เมื่อเขาขับรถฟอร์ดมัสแตงเซกั้นแฮนด์ อยู่ในแคมปัสในเวลาครั้งกระโน้น เมื่อไปรับกนกเลขา จากหอพักอินเตอร์แนชั่นแนลเฮ้าส์ มหาวิทยาลัยชิคาโก ขณะนั้น เธอกำลังศึกษาระดับปริญญาโทเช่นเดียวกับเขา

“ผมขึ้นทางด่วนไปก่อนก็แล้วกัน”

เขาเอ่ยขึ้นโดยปราศจากจุดหมายปลายทางที่แน่นอน ช่างไม่ผิดไปจากสภาพชีวิตคนทั้งคู่ ณ กาลบัดนั้น…

“อั๊พ ทู ยู”

กนกเลขาตอบเบาๆพอได้ยิน ศูรยาตัดสินใจขึ้นทางด่วนด้านถนนเพชรบุรี แล้วลงทางด่วนทันทีด้านสุขุมวิท และเลี้ยวขึ้นทางด่วนทิศตรงข้ามมุ่งไปทางสนามบินดอนเมือง กนกเลขาเอียงหน้าซบกับไหล่ซ้ายของเขา เธอต้องการกำลังใจในยามที่เธอสิ้นแรง ไออุ่นจากบ่าและแผ่นอกของชายคนนี้ ช่างมั่นคงเสียจริงๆ ในยามยากเช่นนี้ ใช่ที่ใครจะปลอบประโลมใครได้ง่ายๆ เธอเป็นคน ยืนหยัดด้วยตนเองเสมอมา ถึงคราวล้ม เธอไม่เคยคิดจะล้มลงบนฟูกชนิดใดก็ได้ เธอรู้สึกตัวเดี๋ยวนั้นเองว่า เธอเป็น เจ้าหญิงตัวน้อยๆผู้โชคดีเสียเหลือเกิน เธอยังมีสิทธิล้มลงบนฟูกอันกรุ่นกลิ่นอบร่ำ ไออุ่นของศูรยาแฝงเร้นด้วยมนตร์เสน่ห์ที่เชิญชวนให้ถวิลหา มาจากแดนแห่งนิยายที่ไม่มีใครเล่าจบเรื่อง กลิ่นกรุ่นๆจากกายเขา เป็นกลิ่นที่เธอเคยคุ้นเคยมาก่อน…ในวัยที่เธอยังสาวกว่านั้น ครั้นมากระทบนาสิกประสาทอีกคำรบหนึ่ง เธอรู้สึกว่า เธอได้เรียกวัยเยาว์กว่าขณะนั้น กลับคืนมาได้แล้วทั้งหมด เธอกลายเป็นเด็กสาวผู้เยาว์ต่อโลกเหมือนเดิม ไม่ใช่ ผู้บริหารสถาบันการเงินที่คร่ำเครียด ผู้เย็นชาต่อชะตากรรมของเพื่อนมนุษย์ รวมทั้งชะตากรรมของตัวเองด้วย กนกเลขาซุกใบหน้าของเธอ แนบแน่นยิ่งขึ้นบนไหล่และหน้าอกของศูรยา แขนซ้ายของเธอโอบอ้อมแผ่นอกของเขา พาดขึ้นไปเหนี่ยวต้นคอและไหล่ขวาของศูรยาไว้ พลางเธอหลับตาพริ้ม มองเห็นโลกในฝัน เธอได้เห็นเมล็ดพืชพันธุ์ดอกไม้นานาชนิด งอกต้นอ่อนชูสลอนขึ้นมา ในระหว่างกองหินระเกะระกะ ของซากสลักหักพังแห่งโบราณสถาน อะโครโปลีส บนยอดเขา ณ กรุงเอเธนส์

กนกเลขาคือ เฮเลนแห่งกรุงทรอย…

ไม่ทันจะเต็มอิ่มจากฝันอันหมดจดงดงาม ประจุแน่นด้วยความหวังอันแสนไกลสุดเสียงกู่เรียก ศูรยาก็เลี้ยวรถเข้าจอด บรลานจอดรถหน้าสนามบินดอนเมือง บริเวณที่จอดรถหน้าแอร์ปอร์ตโฮเต็ล นั่นเอง

“หลับไปแล้วหรือ”

ศูรยาเขย่าตัวเธอเบาๆ พลางกระซิบเรียก ให้เธอตื่นขึ้นจากท่าอันแสนสุข จนเธออยากจะฝันให้มันเป็นท่านิรันดร์ นี่เป็นความใกล้ชิดครั้งแรกในรอบหลายปี ที่เขาเหินห่างจากเธอ และทั้งคู่ทำงานในออฟฟิศเดียวกันแบบมืออาชีพ ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างมีหน้าที่และมีทางของตัว ต่างคนต่างฝังความหลังไว้ในรั้วมหาวิทยาลัยชิคาโกด้วยประโยคเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์ที่สุดในโลก ทั้งๆที่จริงๆแล้ว เป็นประโยคที่ทุพพลภาพที่สุดในสุริยจักรวาล…ที่ว่า “ลืมเสียเถิดความหลัง เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันก็พอ”

ศูรยา มองใบหน้าอันอ่อนเยาว์ลง ด้วยความสุขชั่วขณะของกนกเลขา พลางเขาก็นึกรักและเมตตาต่อเธออย่างไม่เคยมีมาก่อน แม้เธอจะเคยเป็นคนรักของเขาเพียงชั่วข้ามปี แต่ก็ดูยาวนานกว่านั้นมาก เพราะเป็นปีที่ทั้งสองคนต้องฟันฝ่าอยู่ด้วยกัน กับโลกใหม่ในอเมริกา เขามองภาพที่ดูเยาว์กว่าวัยของเธอในขณะนั้น แล้วหวนระลึกถึงภาพนักศึกษาสาวจากเมืองไทยคนนั้น ที่ชื่อ กนกเลขา ผู้หลับฟุบอยู่เป็นเพื่อนเขา ในห้องสมุดกลาง ริชเตนสไตน์ ซึ่งเปิดตลอดคืนยามฤดูสอบไล่

“ตื่นเถอะกนกเลขา เราเข้าไปฟังดนตรีที่ เดบูต็อง คลับ กันดีกว่า วงฟิลิปปินส์เพิ่งจะมาใหม่ ร้องเพลงเพราะมาก”

เขาเรียกชื่อเธออย่างสนิทสนมอีกครั้งหนึ่ง นับเป็นครั้งแรก ในรอบกี่ปีก็ไม่อาจทราบได้ของชีวิตงานอันอลวน ที่เขาเรียกขานเธอเหมือนเมื่อทั้งสองยังเป็นนักศึกษาที่อเมริกา เธองัวเงียขึ้นจากอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นอันแสนสุข แสงนีออนป้ายชื่อบนตัวอาคาร บวกกับแสงโคมไฟจากบริเวณลานจอดรถเล็กๆแห่งนั้น แยงตาจนเธอต้องยกมือขึ้นป้องตาเล็กน้อย แต่เธอก็ตื่นขึ้นมาจากฝันดีเพียงชั่ววูบอย่างสดชื่น ลำนำของบทเพลงอันไพเราะ บรรเลงเบาๆอยู่ในหัวใจเธอ ทั้งๆที่เธอยังก้าวออกมาไม่พ้นรถยนตร์ด้วยซ้ำ กี่ปีแล้วในธุรกิจอันอลวน ที่หัวใจของเธอไม่ได้ยินท่วงทำนองอันอ่อนหวาน และได้มาเปล่าๆปราศจากอัตราดอกเบี้ย อันได้แก่บทเพลง…ที่ครวญออกมาจากห้วงลึกของหัวใจตนเอง มิใช่กัมปนาทออกมาจากเครื่องเสียงราคาแพง

โชคดีที่ค่ำคืนนั้น รมณียสถานเดบูต็องคลับ มีคนเพียงบางตา แขกแทบทุกคนล้วนแต่เป็นผู้โดยสารรอเครื่องบิน และเป็นฝรั่งมังค่าทั้งหมด ทำให้กนกเลขากับศูรยาโล่งใจ ที่ไม่ต้องระมัดระวังตัวมากเกินไป ทั้งคู่ได้ที่นั่งบนโซฟาในมุมสลัวสุดห้อง ระยะไกลขนาดนั้น ช่วยทอนเสียงดนตรีลงจนนุ่มขึ้นมาก…

“ศูรยา…ที่รัก”

เสียงกระซิบอ่อนนุ่ม แฝงอารมณ์สนุกๆล้อเล่นของกนกเลขา เรียกให้ศูรยาเงิยหน้าขึ้นจากแผ่นรายการเครื่องดื่ม ที่เขากำลังอ่านไปเรื่อยๆ เขายิ้มน้อยๆ ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ยิ้มที่จริงใจต่อความรู้สึกของตัวเอง รอยยิ้มแบบนี้เคยหลอมหัวใจกนกเลขาให้ละลาย พร้อมๆกันนั้นก็เคยกระพืออารมณ์ของเธอ จนลุกเป็นไฟมาก่อนในอดีต และแม้ ณ บัดนั้น ก็เถอะ…

“ศูรยา อย่ายิ้มอย่างนั้นกะฉันได้มั๊ย”

เธอพูดกลั้วหัวเราะระริก แฝงความสุข และกระซิบกระซาบต่อไปว่า

“ฉันเพียงแต่กำลังจะบอกว่า ศูรยาที่รัก…ฉันไม่ขอทำตัวตามฟอร์มใดๆ ทั้งสิ้นนะคืนนี้ ตัวอย่างรูปธรรมนะจ้ะ ก็คือว่า ฉันจะไม่สั่งค็อกเทลหรือค็อนญัคมาดื่ม ฉันจะกินอย่างที่ฉันอยากจะกินจ้ะ ฟูลสต็อป แปลว่า ฉันขอไวน์แดงแก้วหนึ่งจ้ะ เท่านั้นก็พอแล้ว แต่ต้องเป็นไวน์บอร์โดส์ ไม่งั้นฉันไม่ยอม”

“ผมไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย”

“เปล่าหรอก ฉันเห็นเธอนั่งอ่านเมนูอะไรนั่น น๊านนาน…นานจนฉันรู้สึกเหงา”

ศูรยาพับแผ่นรายการเครื่องดื่มวางกับโต๊ะ เขารู้ดีว่าเขาเพิ่งจะเปิดเมนูเครื่องดื่มออกอ่านเงียบๆ ได้เพียงชั่วไม่ถึงครึ่งนาฑีเท่านั้นเอง ศูรยาเอนหลังพิงพนักโซฟาและดุเธอว่า

“คุณกำลังทำตัวเป็นเด็กเกเร กนกเลขา”

เธอขยับตัว เข้ามาเบียดร่างอุ่นๆของเขาบนโซฟาตัวน้อย และเอื้อมมือไปจับมือ ศูรยามาประสานไว้กับมือเธอ

“ยิ่งกว่านั้นอีก คืนนี้ใครบอกว่าฉันเป็นเด็กเกเร ฉันอยากจะเสียเด็กไปเลยด้วยซ้ำ”

“ผมจะขอเพลงที่เราเคยชอบ ให้คุณฟัง วงนี้เขาเล่นได้ และเล่นเพราะด้วย

Historia de un Amor…”

“ฮิสตอเรีย เด อูน อะมอร์ เพลงสะแปนิชล่ะซี อย่าลืมขอเพลงไทยจ๊าบๆด้วยนะจ้ะ เขาเล่นได้หรือเปล่า เพลงที่ตรงกับความรู้สึกแบบไทยๆของฉันตอนนี้…ชื่อเพลง ไม่อยากกลับบ้าน ”

วงดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงสเปน “ฮิสตอเรีย เด อูน อะมอร์” หรือ “ตำนานแห่งรัก” ซึ่งในค่ำคืนวันนั้น เนื้อร้องก้องขับ อยู่ในใจกนกเลขาและในใจศูรยา ตรงกันว่า



บัดนั้น ฝันของเธอกลายเป็นจริง

เธอเฝ้าพิศวงว่า ตัวเธอเป็นอะไรไปแล้วหรือนี่

คิดไม่ออกบอกไม่ถูก ตำนานรักเพิ่งจะเริ่มต้น

ด้วยกิริยาอวลเสน่ห์ เขากระซิบเสียงนุ่มๆ บอกเธอ

“ผมมองหาคุณ ในวันเวลาที่เหงาหงอย”



นัยน์ตาเขาเป็นประกาย เธอเริ่มซาบซึ้ง อึ้งในตำนานแห่งรัก

ตำนานเก่าๆ ที่นำมาเล่าขานกันใหม่

แต่เมื่อใดที่เกิดกับตัว

แม้นว่า เธอจะรู้ว่าเป็นเรื่องเก่าแท้ๆ

แต่ก็ไม่วายรู้สึกตื่นเต้น

ว่าเรื่องนี้ช่างใหม่เอี่ยม ช่างทันสมัยเสียจริงๆ



ตำนานรักเรื่องแล้วเรื่องเล่า ถูกเล่าขานต่อๆกันมา

จวบถึง ตำนานแห่งรักของเธอเอง แล้วเธอก็จะประจักษ์

ว่าเมื่อหัวใจสองดวง มาสมัครสมานเป็นหนึ่ง

เมื่อนั้น…ตำนานแห่งรัก จะไม่มีวันรู้จบ

รัก…ไม่รู้จบ

จริงๆด้วย คืนนั้น…กนกเลขาไม่ได้กลับบ้าน เพราะว่าตำนานแห่งรักเมื่อเกิดขึ้นแล้ว มีหรือที่จะรู้จักจบลงได้ง่ายๆ

[หมายเหตุ - ท่านที่ต้องการอ่านทั้งเล่ม เชิญโหลดฉบับดิจิทัล ที่โพสต์ไว้ส่วนหัว ครับ]

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น