ฝันถึง “บางกอกยูโทเปีย”
-บนรถเมล์สาย 2 สำโรง-ปากคลองตลาด (ตอน 1)
โดย เดฟ นาพญา
ผู้เขียนเตรียมตัวนานเดือน เพื่อการเดินทางสั้น ๆ ภายในหนึ่งวันเที่ยวนี้ บางทีก็เกิดความรู้สึกอย่างออกจะดัดจริตว่า ไปปารีสยังไม่น่าตื่นเต้นเท่ากับที่ได้มานั่งรถเมล์สาย 2 สำโรง-ปากคลองตลาดครั้งนี้ สำหรับคนที่นั่งรถเมล์สายนั้นประจำทุกวัน ความรู้สึกทำนองดังกล่าวของผู้เขียนจะต้องน่าหมั่นไส้ แต่สำหรับผู้เขียนแล้วคิดว่ามีความรู้สึกจริง ๆ แฝงอยู่ไม่น้อย เพราะว่าช่วงของชีวิตระยะหลัง ๆ ผู้เขียนรู้สึกคุ้นเคยกับระบบขนส่งมวลชนในกรุงปารีสมากกว่าในกรุงเทพฯ พูดอย่างนี้ใครจะนึกว่ากวนโอ๊ยก็ยอม เราไม่ว่ากัน มีเหตุผลเยอะแยะว่าทำไมจึงได้รู้สึกอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ตามจริงนั้นใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯนานปีกว่าปารีส มากมาย
เพื่อที่จะเขียนถึงรถเมล์สาย 2 อุปกรณ์สำคัญในการทำงานไม่ใช่ปากกา แต่เป็นกล้องวีดีโอดิจิทัลที่ชาร์จแบตเตอรี่ไว้ตลอดคืน ภาพที่บันทึกได้จะช่วยงานเขียนในวันหน้า วันทำงานชิ้นนี้ผู้เขียนออกเดินทางแต่เช้ามืดด้วยรถแท็กซี่ จากที่พักชานกรุงซึ่งอยู่มุมเมืองด้านหนึ่ง ไปยังมุมเมืองอีกด้านหนึ่งที่สำโรง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นต้นสายรถเมล์สาย 2 อันเก่าแก่ ก่อนหน้านี้เคยมีรถปอ.2 อันเป็นรถเมล์ปรับอากาศสีน้ำเงินขาววิ่งอยู่ด้วย บัดนี้ปอ.2 ถูกยกเลิกแล้ว ชาวบ้านบอกว่าต้นสายรถเมล์อยู่เลย “อนุสาวรีย์ช้างสามเศียร” ไปเล็กน้อย เช้ามืดวันนั้นการจราจรเบาบาง...
ไปถึงต้นสายรถเมล์ที่สำโรงเวลายังเช้ามาก ที่บ้านอำเภอหลังสวนเรียกเวลายามเช้าขนาดนี้ว่าเวลา “หัวรุ่ง” เห็นพระสงฆ์เดินบิณฑบาตอย่างสงบสำรวมอยู่ไม่ไกลนัก ผู้เขียนหันกล้องไปบันทึกภาพนั้นไว้ อันเป็นภาพที่ทำให้คนรู้ทันทีที่เห็นว่านี่คือกรุงเทพฯแน่เลย ไม่ใช่ปารีสหรือบอร์โดส์หรือชิคาโกหรือบรัสเซลส์ เมืองใหญ่อีกสี่เมืองที่ผู้เขียนพอจะคุ้นเคยอยู่บ้าง ยามเช้าตรู่ บรรยากาศของกรุงเทพฯอ่อนโยนมิใช่น้อย...(เนื้อเต็มจะตีพิมพ์ในนิตยสาร MBA มีนาคม 2510)
-บนรถเมล์สาย 2 สำโรง-ปากคลองตลาด (ตอน 1)
โดย เดฟ นาพญา
ผู้เขียนเตรียมตัวนานเดือน เพื่อการเดินทางสั้น ๆ ภายในหนึ่งวันเที่ยวนี้ บางทีก็เกิดความรู้สึกอย่างออกจะดัดจริตว่า ไปปารีสยังไม่น่าตื่นเต้นเท่ากับที่ได้มานั่งรถเมล์สาย 2 สำโรง-ปากคลองตลาดครั้งนี้ สำหรับคนที่นั่งรถเมล์สายนั้นประจำทุกวัน ความรู้สึกทำนองดังกล่าวของผู้เขียนจะต้องน่าหมั่นไส้ แต่สำหรับผู้เขียนแล้วคิดว่ามีความรู้สึกจริง ๆ แฝงอยู่ไม่น้อย เพราะว่าช่วงของชีวิตระยะหลัง ๆ ผู้เขียนรู้สึกคุ้นเคยกับระบบขนส่งมวลชนในกรุงปารีสมากกว่าในกรุงเทพฯ พูดอย่างนี้ใครจะนึกว่ากวนโอ๊ยก็ยอม เราไม่ว่ากัน มีเหตุผลเยอะแยะว่าทำไมจึงได้รู้สึกอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ตามจริงนั้นใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯนานปีกว่าปารีส มากมาย
เพื่อที่จะเขียนถึงรถเมล์สาย 2 อุปกรณ์สำคัญในการทำงานไม่ใช่ปากกา แต่เป็นกล้องวีดีโอดิจิทัลที่ชาร์จแบตเตอรี่ไว้ตลอดคืน ภาพที่บันทึกได้จะช่วยงานเขียนในวันหน้า วันทำงานชิ้นนี้ผู้เขียนออกเดินทางแต่เช้ามืดด้วยรถแท็กซี่ จากที่พักชานกรุงซึ่งอยู่มุมเมืองด้านหนึ่ง ไปยังมุมเมืองอีกด้านหนึ่งที่สำโรง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นต้นสายรถเมล์สาย 2 อันเก่าแก่ ก่อนหน้านี้เคยมีรถปอ.2 อันเป็นรถเมล์ปรับอากาศสีน้ำเงินขาววิ่งอยู่ด้วย บัดนี้ปอ.2 ถูกยกเลิกแล้ว ชาวบ้านบอกว่าต้นสายรถเมล์อยู่เลย “อนุสาวรีย์ช้างสามเศียร” ไปเล็กน้อย เช้ามืดวันนั้นการจราจรเบาบาง...
ไปถึงต้นสายรถเมล์ที่สำโรงเวลายังเช้ามาก ที่บ้านอำเภอหลังสวนเรียกเวลายามเช้าขนาดนี้ว่าเวลา “หัวรุ่ง” เห็นพระสงฆ์เดินบิณฑบาตอย่างสงบสำรวมอยู่ไม่ไกลนัก ผู้เขียนหันกล้องไปบันทึกภาพนั้นไว้ อันเป็นภาพที่ทำให้คนรู้ทันทีที่เห็นว่านี่คือกรุงเทพฯแน่เลย ไม่ใช่ปารีสหรือบอร์โดส์หรือชิคาโกหรือบรัสเซลส์ เมืองใหญ่อีกสี่เมืองที่ผู้เขียนพอจะคุ้นเคยอยู่บ้าง ยามเช้าตรู่ บรรยากาศของกรุงเทพฯอ่อนโยนมิใช่น้อย...(เนื้อเต็มจะตีพิมพ์ในนิตยสาร MBA มีนาคม 2510)
โปรดแสดงความเห็นติชม ตำหนิ ด่าว่า ฯลฯ
ตอบลบตามสบายครับ-ไม่โกรธ ทำใจได้หมดแล้ว!
มีให้อ่านฉบับเต็มบน web ไม่ได้เหรอครับ อยากอ่านต่ออะ
ตอบลบได้ครับ แต่ต้องให้เวลาผ่านไประยะหนึ่งนะครับ จึงจะมีสิทธิอัพขึ้นมาได้
ตอบลบ